วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

วิธีใช้ หนังสือพิมพ์+ถุงดำ กันหนาว กันฝน ยามฉุกเฉิน


วิธีการเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกายยามฉุกเฉินและกันฝนได้ด้วย โดยใช้วัสดุหาง่ายใกล้ตัว อย่าง หนังสือพิมพ์ ถุงดำขนาดใหญ่ กรรไกรและมีด




















- โดยขั้นแรกใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ห่อคลุมร่างกาย
- แล้วนำถุงดำขนาดใหญ่พลิกสันขอบถุงมาเป็นด้านหน้าแล้วตัดเป็นรูปวงกลมสำหรับเว้นไว้หายใจ ให้รูครอบพอดีศีรษะ
- ใช้ถุงนั้นคลุมศีรษะทับลงไปอีกชั้น ใช้กันฝนและลมหนาวได้
(ภาพประกอบโดย ญาสินีเศรษฐอนุกูล จากเฟซบุ๊ก หน้าเพจ ดีไซน์ ฟอร์ ดีแซสเตอร์ (design for disaster)
ขอบคุณสำหรับข้อมูล สาระน่ารู้ และ ความรู้รอบตัว และข่าวดีๆที่ร่วมสร้างสรรค์สังคม และการศึกษาไทย จาก ไทยรัฐออนไลน์





























ที่มา blog.eduzones.com/wigi/85315

วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

มือใหม่เริ่มวิ่งทำอย่างไร


หลังที่เราหันมาสนใจการออกกำลังกายด้วยการเดินเร็ว ร่างกายก็จะค่อย ๆ เพิ่มความแข็งแรงมากขึ้น คุณจะรู้สึกว่าเดินได้ระยะทางมากหรือไม่ก็เดินได้เร็วมากขึ้น โดยที่ไม่เหนื่อยเหมือนเก่าหรือเหนื่อยน้อยลง
คราวนี้คุณคงอยากจะเริ่มวิ่งจ๊อกกิ้งบ้างแล้ว เพราะรู้สึกว่าแค่เดินจะไม่ทันใจเสียแล้ว ก่อนจะไปถึงตรงนั้น เรามาดูข้อดีของการออกกำลังกายประเภทเดินเร็วหรือวิ่งจ๊อกกิ้งกันว่า อรรถประโยชน์แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร
การออกกำลังกายที่หัวใจและปอดได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้การไหลเวียนเลือดเป็นไปอย่างดี เราเรียกการออกกำลังกายประเภทนี้ว่า แอโรบิก เอ็กเซอร์ไซส์ คำจำกัดความแท้จริงคือ การใช้ออกซิเจนอย่างสม่ำเสมอในการออกกำลังกาย ซึ่งไม่ใช่แค่การเต้นแอโรบิก แต่รวมถึงการเดินเร็ว วิ่งจ๊อกกิ้ง ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน หรือแม้แต่เล่นสกี
การออกกำลังกายเหล่านี้ จะต้องอาศัยการทำงานของปอดและหัวใจอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอเหมือนรถที่วิ่งในความเร็วคงที่ ไม่กระโชกโฮกฮาก แบบการเล่นกีฬาบางประเภทที่มีทั้งอยู่กับที่ วิ่งเร็วบ้าง วิ่งช้าบ้าง แบบนั้นไม่ใช่การออกกำลังกายแบบแอโรบิก ซึ่งทำร้ายการทำงานของหัวใจมากกว่าการช่วยให้หัวใจแข็งแรง ซึ่งเรามักได้ยินข่าวอยู่บ่อยที่เล่นฟุตบอลหัวใจวาย เล่นเทนนิสหัวใจวาย
สำหรับมือใหม่หัดวิ่งหรือหัดเดินเร็ว สิ่งที่สมควรลงทุนมากสุดคือรองเท้าที่ดีเหมาะสมกับเราหนึ่งคู่ หากท่านได้เริ่มเดินจนรู้สึกดีมาระยะหนึ่งแล้วก็เรามาเริ่มวิ่งจ๊อกกิ้งกัน
แต่อีกอย่างที่สำคัญไม่แพ้กันคือการยืดเส้นยืดสาย อบอุ่นร่างกาย ให้เตรียมพร้อมกับการออกกำลังกาย ทั้งก่อนและหลังการวิ่ง เป็นเรื่องที่ลดการบาดเจ็บและปวดเมื่อยกล้ามเนื้อได้ดีมาก
เสื้อผ้าที่ใส่ไม่ต้องมิดชิดมาก คนเริ่มวิ่งใหม่ ๆ มักจะอายหรือไม่คุ้นกับตัวเอง มักใส่เสื้อผ้ารุ่มร่าม ขอแนะนำ เสื้อยืดแขนสั้นหลวม ๆ สีอ่อน(เพราะจะไม่ดูดแสงทำให้ร้อนไป) กางเกงขาสั้นดีกว่าขายาว แต่แรก ๆ ยังเขิน ๆ ก็พออนุโลมกันได้

วิ่งที่ไหนดี

คำตอบคือที่ไหนก็ได้ที่มีที่ให้เราวิ่ง ในหมู่บ้าน สวนสาธารณะใกล้บ้าน ริมถนนที่ไม่ค่อยมีรถ วิ่งได้ทั้งนั้นไม่จำเป็นต้องลงทุนไปที่ยิม เพราะบางทีจะเสียเงินฟรี กับการจ่ายค่าสมาชิกแล้วไปไม่กี่ครั้ง

วิ่งเร็วแค่ไหน

เริ่มแรกไม่ต้องเน้นความเร็ว การออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายได้ประโยชน็ให้เน้นที่ระยะเวลามากกว่าระยะทาง เริ่มแรกควรวิ่งได้ต่อเนื่องอย่างน้อย 20 นาที ในระยะเวลา 20 นาทีนี้ถ้ามีเพื่อนวิ่งด้วย ให้วิ่งแบบวิ่งไปคุยกันไปรู้เรื่อง ถ้าเริ่มคุยไม่ได้ เริ่มหอบ หายใจไม่ทัน แสดงว่าวิ่งเร็วเกินไปแล้ว ให้ลดความเร็วลงมา

ท่าวิ่งสำคัญ อย่าลงปลายเท้า
วิ่งจ๊อกกิ้งไม่ใช่วิ่งเร็วหรือวิ่งแข่ง การลงเท้าสัมผัสพื้นเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจ อย่าลงด้วยปลายเท้าแบบนักวิ่งร้อยเมตรเพราะเราไม่ได้เน้นความเร็ว ขอให้วิ่งลงส้นเท้าหรือตั้งแต่กลางเท้าสัมผัสพื้นก่อน แล้วค่อยตามด้วยปลายเท้าด้านหน้า
วิ่งแบบนี้จะวิ่งได้นาน น่องจะไม่เกร็ง
ไม่ล้า ไม่ปวดเมื่อย และป้องกันการบาดเจ็บ
ได้มาก ส่วนแขนสองข้างงอขึ้นมาสบายๆ กำมือหลวมๆ อยู่ราวหน้าอก ไม่ต้องกุมอกแน่นแบบสาวๆ หลายคน ที่กลัวหน้าอกหน้าใจจะถูกแรงโน้มถ่วงดึงลงมา หลักง่ายๆ ไม่ต้องเกร็ง ไม่ต้องยกสูง

อย่าฝืนวิ่ง ไม่ไหวสลับเดินได้
ตั้งเป้าไว้ว่าต้องวิ่งให้ได้เท่านั้นเท่านี้ บางทีมือใหม่อาจหน้ามืดเป็นลมเป็นแล้งไปได้ ถ้ารู้สึกว่าร่างกายไม่เอาด้วย อย่าได้ฝืน วิ่งให้ช้าลง หรือไม่ไหวจริงๆ ก็สลับเดินได้ อย่าได้วิ่งแล้วหยุดกึกทันที ทำแบบนี้จะอันตรายหน้ามืดได้ ต้องเดินต่อเนื่องให้ร่างกายได้ปรับตัว พอหายเหนื่อยก็กลับไปวิ่งเหยาะในความเร็วเดิมได้
ทำแบบนี้บ่อยๆ ในช่วงเริ่มต้น คุณจะแปลกใจกับความแข็งแกร่งของร่างกาย รู้สึกว่าเหนื่อยน้อยลง หรือไม่ก็วิ่งโดยไม่ต้องหยุดได้ครบระยะเวลาที่ตั้งใจ

เตรียมตัวอย่างไรก่อนวิ่ง
ไม่ควรกินอาหารหนักก่อนวิ่งอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพราะร่างกายต้องการเลือดส่วนใหญ่ไปที่กระเพาะอาหาร เพื่อช่วยการย่อยอาหาร หากเราไปออกกำลังกายช่วงนี้ เลือดในร่างกายก็ถูกดึงไปใช้เลี้ยงกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดการย่อยอาหารที่ไม่สมบูรณ์ ท้องอืด ท้องเฟ้อ และทำให้จุกเสียดท้องได้
แต่ไม่ใช่ว่าต้องท้องว่าง คุณอาจทานอะไรเบา ๆ เพื่อเป็นพลังงานในการเตรียมการออกกำลังกาย เช่น น้ำผลไม้ นมครึ่งแก้ว ผลไม้ชิ้นสองชิ้น ทำให้เราออกำลังกายได้สนุกมากขึ้น
เรื่องน้ำดื่ม อย่าได้เชื่อผิด ๆ ว่าระหว่างการวิ่งอย่ากินน้ำทำให้จุก จะเป็นจริงก็เพราะดื่มมากไป การวิ่งหรือเล่นกีฬา ต้องมีการจิบน้ำเป็นระยะ เพื่อให้ความสดชื่นแก่ร่างกายที่เสียเหงื่อออกไป และช่วยลดความร้อนในร่างกายขณะออกกำลัง

วิ่งบ่อยถี่แค่ไหนเหมาะสม
ตามทฤษฎี สัปดาห์ละอย่างน้อย 3 ครั้ง ครั้งละไม่ต่ำกว่า 20 -30 นาที ร่างกายถึงจะได้ประโยชน์ หัวใจและปอดจะแข็งแรงดี แต่ถ้าทำได้มากกว่านั้นก็ยิ่งมีประโยชน์ แต่ส่วนใหญ่จะทำได้น้อยกว่านี้ ช่วงแรก ๆ พยายามทำให้ได้ตามนี้ เมื่อทำเป็นนิสัยคุณจะรู้ว่าการออกกำลังกายจะทำให้คุณปลอดโปร่งได้มากแค่ไหนทั้งภายในร่างกายและสภาพจิตใจ

อ่านจบแล้ว นึกอยากออกไปวิ่ง อยากออกไปเดิน ทำได้ทันที ไม่ต้องรอใครไม่ต้องชวนเพื่อน เอารองเท้าออกมา ใส่ชุดสบาย ๆ เอา IPOD หรือ MP3 โทรศัพท์มือถือเปิดเพลงมัน ๆ ไปกับเราด้วย ให้เวลาตัวเองซักครึ่งชั่วโมง ทำไมจะหาไม่ได้ ในเมื่อเราให้คนอื่น เรายังให้ได้มากกว่านี้

ที่มา Never-Age.com

มารยาทบนโต๊ะอาหารของชาวญี่ปุ่น

การเรียนต่อในประเทศญี่ปุ่นนั้น นักเรียนอาจมีโอกาสได้เข้าร่วมรับประทานอาหารกับชาวญี่ปุ่น ดังนั้นการเรียนรู้มารยาทบนโต๊ะอาหารนั้น จึงเป็นสิ่งที่ควรศึกษาไว้เป็นความรู้ที่ติดตัวไปด้วย
สำหรับบ้านเรานั้นถึงแม้เราจะใช้ช้อนส้อมเสียส่วนใหญ่ แต่ก็มีโอกาสใช้ตะเกียบในการรับประทานอยู่ไม่น้อย ชาวญี่ปุ่นนั้นแทบทุกบ้านจะใช้ตะเกียบในการรับประทานอาหาร ดังนั้นขอให้นักเรียน เรียนรู้มารยาทการรับประทานอาหารด้วยตะเกียบ การปฎิบัติเหล่านี้บนโต๊ะอาหารเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงเป็นอย่างยิ่ง
การกำตะเกียบเป็นกิริยาที่ไม่ดีเป็นการจับตะเกียบและถ้วยข้าวด้วยมือเดียวกัน
“ โยเซบาฉิ” การเลื่อนชามไปข้างหน้าด้วยตะเกียบ (จะโยกย้ายอะไรก็ใช้มือให้สุภาพเข้าไว้)
“ ซึคิบาฉิ” การเสียบอาหารด้วยตะเกียบ
“ ซากุริบาฉิ” การเลือกอาหารที่มีรสอร่อย หรือน่ากินในจานอาหาร (อย่าลืมว่าใครๆก็อยากรับประทานของอร่อยในจานเหมือนกัน อย่าเผลอเลือกรับประทานคนเดียวจนหมด)
“ มาโยอิบาฉิ” การถือตะเกียบจดๆจ้องๆไตร่ตรองถึงสิ่งที่จะรับประทานอาหารบนโต๊ะอาหาร (หรือพูดง่ายๆว่า เล็งรับประทานอะไรไว้ก็มุ่งหนีบรับประทานซะดีกว่า เลือกไปเลือกมาดูเหมือนจะทิ้งของที่ไม่อร่อยให้คนอื่นรับประทาน ชาวญี่ปุ่นเป็นอะไรที่เก็บความรู้สึก ถึงอยากรับประทานก็ต้องมีมารยาทไว้ก่อน)
การเสียบตะเกียบไว้บนข้าวก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรปฎิบัติ

ที่มาwww.thaigoodview.com/node/9780

บทความ มารยาท

มารยาทบนโต๊ะอาหารของชาวญี่ปุ่น

น้ำลายไหลไปกับ นิกุยะ แจแปนนิส บาร์บีคิว บุฟเฟต์


ช่วงนี้ฝนตกทุกวันเลย จะเดินทางไปไหนมาไหนก็ลำบาก ว่าแล้วเรื่องหาของกินก็เรื่องใหญ่พอๆ กัน ฝนจะตกยังไงท้องก็ยังต้องอิ่ม วันนี้เลยขอหลบฝนไปนั่งชิลล์ๆ สบายๆ ไปลองลิ้มชิมรสชาติร้านบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ เสมือนได้ไปนั่งกินที่โอซาก้ากันเลยที่ นิกุยะ แจแปนนิส บาร์บีคิว บุฟเฟ่ต์ (NIKUYA Japanese BBQ Buffet) บรรยายเว่อร์ไปนิดส์ แต่ต้องบอกว่าสาขาที่เราเลือกไปทานวันนี้ คือ สาขา ฟิฟท์ตี้ ฟิฟท์ ทองหล่อ ซ.2 (ชั้น 1) คนไม่เยอะมาก พอนั่งกันสบายๆ
เริ่มต้นเบาๆ กันที่บาร์ผักสดชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสลัดผักรวม ข้าวโพดสองสี พริกหวาน หอมหัวใหญ่ เห็ดหอม เห็ดออรินจิหมักซอสเกาหลี กิมจิ เมนูข้าว และผลไม้ต่างๆ

ด้วยเป็นร้านปิ้งย่างสิ่งที่ต้องเด่นสุดคือ บาร์ของสด กลุ่มเนื้อสัตว์ที่คัดสรรมาให้เราได้ทานกันนั้นมีละลานตาจนเลือกไม่ถูก ที่เด่นๆ ของที่นี่ คือ หมูหมักซอสเกาหลี ซี่โครงหมูหมักซอสบาร์บีคิว ไก่หมักซอสเทริยากิ เบคอน กุ้ง ปลาแซลม่อนจากประเทศนอร์เวย์ หอยแมลงภู่สดจากประเทศนิวซีแลนด์ เนื้อวัวนำเข้า เนื้อวัวติดมัน เนื้อวัวหมักซอสเกาหลี โดยเนื้อวัวนั้นคัดสรรอย่างดีจากประเทศออสเตรเลีย

หมูหมักซอสพริกไทยดำ
เบคอน
หมูหมักซอสเกาหลี
สันคอหมู
วันที่ไปโชคดีมาก เป็นช่วงพิเศษที่ทางร้าน เพิ่มเมนูมาใหม่อีก 3 เมนูได้แก่ เนื้อวัวลูกเต๋าคัดอย่างดี ปลาไข่ ปลาซาบะ และยังมีเมนูอื่นๆกว่า 50 รายการให้คุณได้เลือกสรรตามใจชอบ
เห็นเครื่องคาวกันครบถ้วนแล้ว (ตักทุกอย่าง ไม่เชื่อดูสิ) ก็ถึงเวลาที่รอคอยกันมานาน จับลงเตาปิ้งให้เต็มทุกตารางนิ้ว รัตตี้มีเคล็ดลับสำคัญในการทานเนื้อย่างให้อร่อยมาฝาก เพียงตอนปิ้งนั้นต้องกลับเนื้อเพียงครั้งเดียวและไม่ย่างจนแห้งเกินไป
มาดูตรงนี้กันหน่อย ความพิเศษของร้านนี้อยู่ที่การเลือกใช้ถ่านชนิดพิเศษที่ทำจากกากมะพร้าว 100% ทำให้การปิ้งย่างของคุณนั้นไร้ควันและกลิ่นรบกวนอย่างแน่นอน ทำให้รู้สึกเพลิดเพลินกับการปิ้งย่างอย่างไรกังวลและลิ้มรสความเป็นญี่ปุ่นจ๋าแบบไม่รู้ลืม กินปิ้งย่าง ความเด็ดอยู่ที่ "น้ำจิ้ม" ที่ นิกุยะ เค้ามีน้ำจิ้มทั้งหมด 3 แบบ สูตรพิเศษที่ทางร้านมีมาให้เลือกถึง 3 แบบด้วยกัน
นิกุยะซอส สูตรพิเศษสไตล์ทีวีแชมเปี้ยนจากญี่ปุ่น เนื้อซอสเข้มข้นอร่อยแบบญี่ปุ่นจ๋าแท้ๆ ปรุงรสเพิ่มด้วยโคจูจัง พริกสด กระเทียมสับ และน้ำมะนาว สักหน่อยรับรองจัดจ้านถึงใจ
ส่วนใครที่ไม่ชอบเผ็ดก็ต้องยากินิกุซอส รสชาติจะออกหวานๆแบบกลมกล่อม มีกลิ่นหอมอ่อนๆของงา เป็นได้ทั้งน้ำจิ้ม ทั้งซอสราดบนเนื้อสัตว์และผักต่างๆ ก่อนนำไปย่างราดไว้เพียง 1 นาทีก็จะได้เนื้อนุ่มๆกลิ่นหอมๆ อร่อยไปอีกแบบและน้ำจิ้มซีฟู้ด ที่เข้ากันได้ดีกับอาหารทะเลสดๆ รับรู้ได้เลยว่าทุกอย่างล้วนปรุงอย่างพิถีพิถันทุกขั้นตอนเพื่อให้ได้รสชาติของน้ำจิ้มที่เข้ากันอย่างลงตัวกับอาหารสไตล์ปิ้งย่าง
ว่าแล้วก็ได้เวลาเอาทุกสิ่งอย่างที่อธิบายมาทั้งหมดเข้าปาก..... ไม่ต้องน้ำลายไหลกันล่ะ ที่นิกุยะเค้าให้เวลาความสุขในการรับประทานอยู่ที่ 2 ชั่วโมง รับรองว่าใครที่ชอบกินบุฟเฟ่ต์ได้อิ่มพุงแตกแน่
ค่าอาหารรวมค่าน้ำแล้วอยู่ที่ 479 บาทต่อคน ผู้ที่ชื่นชอบการทานเนื้อย่างห้ามพลาดร้านนี้เป็นอันขาด
สามารถติดตามโปรโมชั่นของนิกุยะ แจแปนนิส บาร์บีคิว บุฟเฟ่ต์ได้ที่http://www.facebook.com/NikuyaBuffet นิกุยะมีทั้งหมด 5 สาขา คือ ยูดี ทาวน์ ศูนย์การค้า ยูดี ทาวน์, เซ็นทรัลพลาซารัตนาธิเบศร์, ฟิฟท์ตี้ ฟิฟท์ ทองหล่อ ซ.2 (ชั้น 1), Asiatique TheRiverfront และซีคอนสแควร์
เรื่องโดย : รัตตี้
ภาพโดย : Pockii Vtec

เตรียมไปชมทุ่งดอกทานตะวัน เขาจีนแล ลพบุรี


มีใครคนหนึ่งเคยกล่าวเอาไว้ว่า ฤดูหนาวทำให้หญิงสาวแลดูสวยขึ้นเป็นเท่าตัว แต่ถ้าคุณอยากให้หญิงสาวของ คุณดูสวยยิ่งไปกว่านั้น ลองพามาเที่ยวชมทุ่งทานตะวันในฤดูหนาว สายลมเย็นและแสงแดดอ่อนยามเช้าที่คลอเคลียหยอกเย้ากับทุ่งทานตะวันจะช่วยกล่อมเกลาความงามของหญิงสาวให้โชติช่วงขึ้นอีกหลายเท่าตัว...ตราบเท่าที่ความโรแมนติกยังคงตลบอบอวลอยู่ในใจ...
คนหลังกล้องส่วนใหญ่เคยไปเยือนทุ่งเหลืองอร่ามของดอกทานตะวันมาแล้ว ที่เคยไปมากกว่า 1 ครั้งก็มีอยู่ไม่น้อย แต่ก็ยังมีอีกไม่น้อยเช่นกันที่ยังไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว ทุ่งทานตะวันไม่ได้มีอยู่แค่ที่สระบุรี ในพื้นที่ของจังหวัดที่อยู่ติดกันคือ อีกแหล่งหนึ่งที่มีทุ่งทานตะวันเช่นกัน ที่ยิ่งไปกว่าก็คือมีทิวทัศน์ทั้งฉากหน้าฉากหลังที่ตระการตา และที่ถือว่าเป็นที่สุดก็คือ พื้นผิวโลกในส่วนนี้ คือแหล่งที่มีการปลูกทานตะวันมากที่สุดในเมืองไทย......มากจนถึงระดับที่ว่า มองไปสุดตารอบด้านก็ยังไม่พ้นสีเหลืองอร่ามของตะวันดวงน้อยเหล่านี้เสียที...เทือกเขาหินปูนรูปทรงแปลกตาที่ทอดตัวยาวทะมึนเป็นสีเข้มตัดกับสีใสๆ ของท้องฟ้าตรงหน้าของแผ่นดินพระนารายณ์แห่งนี้คือ "เขาจีนแล" แหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของจังหวัดลพบุรีเมื่อยามลมหนาวพัดโชยมาถึง เนื่องด้วยเป็นพื้นที่ที่มีการเพาะปลูกดอกทานตะวันมากที่สุดในประเทศ ราวๆ สองถึงสามแสนไร่ (และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอีก) ถ้านึกภาพไม่ออกว่ากว้างใหญ่ขนาดไหน ก็ลองจินตนาการถึงสนามฟุตบอลสามหมื่นเจ็ดพันสนามที่เรียงต่อกันดูเอาเอง
นอกจากความกว้างใหญ่ไพศาลของทุ่งเหลืองอร่ามที่ทำให้มันมีชื่อเสียงแล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งซึ่งเป็นที่ต้องตาต้องใจของคนถ่ายภาพมากๆ ก็คือ เทือกเขาจีนแล ที่ทอดตัวยาวเป็นฉากหลังของที่นี่ ที่ทำให้ภาพที่ถ่ายออกมาดูมีเรื่องราวและตัวแบบมากกว่าทุ่งทานตะวันเพียวๆ ซึ่งมีส่วนอย่างมากที่จะช่วยให้ภาพดูตื่นเต้นอลังการยิ่งขึ้น อีกทั้งเขาจีนแลก็เป็นภูเขาหินปูนที่มีรูปลักษณะสันฐานแปลกตาต่างจากภูเขาธรรมดาทั่วไป ยิ่งเพิ่มความน่าดูเข้าไปอีก ซึ่งก็สุดแท้แต่ใครจะหามุมเด็ดในดวงใจแล้วเก็บภาพเอาไว้ได้ เมื่อทุ่งทานตะวันรวมตัวกันกับเทือกเขาหินปูน จึงนับว่านี่คืออีกหนึ่งสถานที่ในฝัน สวรรค์ของคนบ้ากล้องเลยทีเดียว..." หลายคนคงเคยได้ยินชื่อเสียงของแหล่งทุ่งทานตะวันลพบุรีอย่าง "เขาจีนแล" "อ่างฯ ซับเหล็ก" "พัฒนานิคม" กันมาบ้างแล้ว ซึ่งทั้งสามชื่อนี้ก็คือละแวกเดียวกัน คณะของเราได้เคยแวะเข้ามาหาข้อมูลเมื่อครั้งทำคอลัมน์ "เจ็ดโถงถ้ำแห่งสองบุรี" ได้เห็นพื้นที่เพาะปลูกทุ่งทานตะวันหน้าเขาจีนแลว่ามีขนาดกว้างขวางสุดประมาณ แต่ที่ยิ่งทำให้เราตื่นตะลึงมากยิ่งขึ้นไปอีกก็คือทางด้านหลังเขาจีนแลก็ยังมีพื้นที่เพาะปลูกทานตะวันที่กว้างใหญ่กว่ามาก เพียงแต่ถนนหนทางไม่ได้สะดวกมากมายนัก ถ้ามาถูกเวลา (เดือนพฤศจิกายน) เราจะได้เห็นแนวหุบเขาทานตะวันยาวเหยียดเหลืองอร่ามสุดตา โดยมีลักษณะแปลกตาของเขาจีนแลเป็นฉากหลังที่ดูอลังการยิ่ง
ในอีกด้านหนึ่งนั้นก็คือเรื่องของสถาปัตยกรรมและสิ่งปลูกสร้างที่ยิ่งใหญ่อลังการไม่แพ้ที่ใดในโลก รวมไปถึงบรรดารูปเคารพบูชาทั้งพระพุทธรูปและตุ๊กตาหินขนาดใหญ่ต่างๆ ก็ล้วนแล้วแต่สร้างความประทับใจอย่างไม่มีที่ใดเสมอเหมือนการเดินทางไปยังทุ่งทานตะวันแห่งนี้โดยใช้รถส่วนตัวจะสะดวกและเหมาะมากที่สุด เพราะนอกจากจุดท่องเที่ยวหลักหน้าเขาจีนแลแล้ว เราต้องเลาะลัดหามุมไปตามถนนสายต่างๆ ในบริเวณนี้ ซึ่งก็จะเป็นมุมภาพที่แปลกแตกต่างกันไป บางจุดก็เป็นแหล่งที่มีนกหน้าตาแปลกๆ ยึดพื้นที่หาอาหารในทุ่งทาน-ตะวันแห้ง สามารถเก็บภาพกันได้เพลินทั้งวัน ถึงแม้ว่าแสงแดดจะค่อนข้างแรง แต่สายลมเย็นช่องเขาแห่งฤดูหนาวก็ช่วยให้เราสดชื่นมีแรงกดชัตเตอร์กันได้ตลอดเวลา
บริเวณใกล้เคียงกันนั้นก็ยังมีจุดท่องเที่ยวอื่นๆ ให้เปลี่ยนบรรยากาศอีกหลายจุด ไม่ว่าจะมาแบบเช้าไปเย็นกลับหรือแวะพักสักคืนหนึ่งก็ไม่มีปัญหา เพราะห่างจากตัวเมืองสระบุรีออกมาแค่ ราวๆ 40 กม. หรือจากกรุงเทพเพียงร้อยกิโลเมตรเศษๆ เท่านั้น ปีนี้มาไม่ทันเพราะโปรแกรมเต็มก็ไม่เป็นไร ปีต่อๆ ไปอย่าลืมจัดโปรแกรมมาที่นี่ก่อนที่จะเอ้าท์เสียก่อน เพราะถึงปลายปีทีไร ใครๆ ก็เรียกหาคอลเลคชั่นภาพทุ่งทานตะวันเสียทุกทีไป...
ไม่เชื่อก็ต้องมาพิสูจน์ด้วยตัวเองว่าสายลมหนาวแห่งหุบเขาทานตะวันที่ชื่อ "จีนแล" จะทำให้หญิงสาว สวยขึ้นได้อีกหลายเท่าจริงหรือไม่ ?
ที่มา:  http://travel.sanook.com

วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2555

ดร.ต่าย นักวิจัยหญิงไทย ที่ได้รับการยอมรับระดับโลก

นักวิจัยหญิงไทยที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก อยากรู้จักกันแล้วใช่ไหมเอ่ย? ดร.นิศรา การุณอุทัยศิริ หรือ ดร.ต่าย เธอเป็น 1 ใน 43 นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นรุ่นใหม่จากทั่วโลกในงาน World Economic Forum

ที่มา: http://women.sanook.com

เทคนิคเรียนเก่ง ความจำดี

เพิ่มประสิทธิภาพการเรียน
หลักการเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนหนังสือ 6 ประการซึ่งมีผู้นำไปปฏิบัติแล้วได้ผลดีมีดังนี้
1. สะสม(Gradual) เรียนอย่างค่อยเป็นค่อยไป สะสมวันละนิดไม่ใช่หักโหมก่อนสอบ
2. ทำซํ้า( Repetition) ทบทวน ท่อง และทำแบบฝึกหัดซํ้า ๆ
3. ย้ำรางวัล(Reinforcement) ควรให้รางวัลตัวเองเมื่อ ทำงานสำเร็จในแต่ละครั้งเพื่อให้ขยันขึ้น
4. ขยันคิด(Active Learning) จงใส่ใจคิดตามเสมออย่าฟังหรืออ่านไปเรื่อย ๆ
5. ฟิตปฏิบัติ(Practice) ต้องลงมือปฏิบัติให้เกิดความชำนาญไม่ใช่รู้แต่ทฤษฏีอย่างเดียว การลงมือปฏิบัติจริงจะทำให้จำแม่นยำเกิดการถ่ายโยงความจำระยะสั้นให้เป็นระยะยาว
6. หาทางบังคับตัวเอง (Stimulus Control) โดยอาศัยการจัดสิ่งแวดล้อมเป็นตัวเร่งและกระตุ้นจากหลักการเพิ่มประสิทธิภาพการเรียน 6 ประการดังกล่าว ถ้าเราปฏิบัติตนให้ถูกวิธี เราจะประสบผลสำเร็จ มีผู้เสนอข้อปฏิบัติตนที่ดีไว้มากมาย

ต่อไปนี้เป็นข้อปฏิบัติตนที่ได้คัดเลือกให้ท่านลองนำไปปฏิบัติดูเพียง 5 ข้อ
ข้อปฏิบัติตนของการเป็นผู้เรียนที่ดี
1. เวลาฟังอาจารย์สอนหรือเวลาอ่าน ต้องคิดตาม ถาม จด ตลอดเวลา ถ้าไม่เข้าใจควรจดคำถามไว้เพื่อคิดค้นคว้าหรือถามผู้รู้ต่อไป
2. หามุมที่ใช้เป็นที่ดูหนังสือหรือทำการบ้านที่จะทำให้มีประสิทธิภาพ
3. จัดเวลาสำหรับทบทวนสิ่งที่เรียนมา หรืออ่านล่วงหน้าสิ่งที่จะเรียนต่อไป และถ้าปฏิบัติตามที่กำหนดได้ควรให้รางวัลตัวเอง เช่น ได้ขนม ได้เล่น
ได้ฟังเพลง ดูทีวี ได้ออกกำลัง เป็นต้น ถ้าทำไม่ได้ตามกำหนดควรหาเวลาชดเชย
4. ท่องหนังสือกับเพื่อน อย่าหวงวิชา แบ่งปันความรู้อธิบายให้กันและกัน อย่าช่วยเหลือเพื่อนในทางที่ผิด เช่น ทุจริตเวลาสอบ หรือให้ลอกงานโดยไม่เข้าใจ
5. ฝึกศึกษาด้วยตนเอง มิใช่ต้องเรียนจากครูเพียงอย่างเดียว การศึกษาด้วยตนเองต้องใช้สมาธิมาก ต้องทำความเข้าใจจดสาระสำคัญต่าง ๆ
ลงในโน้ตย่อ จดสิ่งที่ไม่เข้าใจไว้ค้นคว้าต่อไปขอให้ท่านลองปฏิบัติตาม 5 ข้อนี้ โปรดสำรวจตัวท่านเองทุกสัปดาห์ว่า ท่านยังขาดข้อใดบ้างพยายามปรับปรุงทำให้ได้ ต้องอดทน แม้ว่าจะเป็นนิสัยเดิมก็ตาม ถ้าท่านทำได้รับรองว่าท่านจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในการเรียนคนหนึ่งแน่นอน
หากท่านยังไม่สามารถปฏิบัติตนดังกล่าวได้ ท่านต้องหาสาเหตุอื่น ๆอีกเช่น

ท่านขาดแรงจูงใจในการเรียนหรือไม่
เวลาทำใจไม่จดจ่อ (ขาดสมาธิ) ใช่หรือไม่
อ่านเท่าไรก็ไม่จำ (อ่านไม่เป็น) ใช่หรือไม่
คิดเท่าไรก็ไม่ออก ใช่หรือไม่

ถ้าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นกับตัวท่านแล้วท่านจะต้องหาทางแก้ไขและฝึกฝนตนเองในจุดที่ท่านบกพร่องเช่นในด้านความจำ เป็นสิ่งสำคัญมากในการเรียนคณิตศาสตร์ เราต้องทำความเข้าใจก่อนแล้วจำ
ทำอย่างไรเราจะจำดี
จากการศึกษาของนักจิตวิทยาเกี่ยวกับการจำการลืมของมนุษย์พบว่า คนเรามีอัตราการจำหรือลืมดังนี้
เมื่อเวลาผ่านไป หนึ่งวัน คนเราจะจำเรื่องราวที่ตนอ่านไปได้ประมาณ 50% และลดลงไปอีกครึ่งหนึ่งทุก ๆ 7 วัน จนในที่สุด จะนึกไม่ออกเลยเมื่อผ่านไป 21 วัน ทางแก้การลืมความรู้ก็คือไปทบทวนทันทีที่เราเรียนในแต่ละ วันเพื่อมิให้เกิน 24 ชั่วโมง จากนั้นเราทิ้งช่วงไปทบทวนรวบยอดในวันหยุด เสาร์ อาทิตย์ เพื่อมิให้เกิน 7 วัน ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์จะทบทวนสิ่งที่เรียนมาทั้งสัปดาห์
เนื่องจากแต่ละวันความรู้จะพอกพูนขึ้นไปเรื่อย ๆ เราควรทำโน้ตย่อและทบทวนจากโน้ตย่อสาระสำคัญ จะช่วยให้เราเสียเวลาทบทวนน้อยลง
บทความโดย : ผ.ศ.ดร.สมวงษ์ แปลงประสพโชค
ที่มา : ศูนย์พัฒนาสื่อการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ พระนคร

วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เทียบ Samsung Galaxy Note 2 กับ Note รุ่นแรก

เทียบ Samsung Galaxy Note 2 กับ Note รุ่นแรก ซื้อรุ่นไหนดี มีอะไรอัพเกรดบ้าง ที่นี่มีคำตอบ!
ติดตามข่าวแท็บเล็ต Android: Samsung Galaxy Note 2 ที่น่าสนใจกับ เฮียณัฐ TechXcite หลายๆ คนคงจะเห็นSamsung Galaxy Note 2 เปิดตัวกันไปแล้วเมื่อคืน และคงจะทราบถึงสเปคและรายละเอียดต่างๆ ของตัวเครื่องกันไปแล้ว ตอนนี้หลายๆ คนอาจจะเริ่มลังเลว่าจะซื้อ Note 2 ตัวใหม่ดี หรือว่าจะไปสอยตัว Note 1 รุ่นแรกที่ปรับลดราคาลงมาดี ลองอ่านบทความนี้เปรียบเทียบ Samsung Galaxy Note 2 กับ Samsung Galaxy Note 1 ดูครับ ว่ารุ่นใหม่นี้มีอะไรเพิ่มเติมขึ้นมาบ้าง เพื่อเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจครับ


 ขนาดหน้าจอ และตัวเครื่อง
จุดเด่นที่สำคัญของ Samsung Galaxy Note 2 ที่แตกต่างจาก Note 1 คือเรื่องของหน้าจอครับ เพราะว่า Note 2 มาพร้อมกับหน้าจอ 5.5 นิ้ว ในขณะที่รุ่นเก่าขนาด 5.3 นิ้ว ใหญ่กว่าเดิม 0.2 นิ้ว แต่ถ้าสังเกตุให้ดีๆ จะเห็นว่า Note 2 จะมีหน้าจอที่แคบกว่า แต่ยาวขึ้นไปทางด้านบนแทน ซึ่งตรงจุดนี้ความคิดเห็นส่วนตัวค่อนข้างชอบนะครับ เพราะคิดว่าน่าจะทำให้จับมือถือถนัดกว่าตัวเก่าที่ตัวเครื่องออกบานๆ และถึงแม้ Note 2 จะมีขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น แต่ความละเอียดของหน้าจอก็ยังลดลงเป็น 1280x720 พิกเซล โดย Note 1 อยู่ที่ 1280x800 พิกเซล และ PPI Ratio ลดลงจากเดิม 285 PPI เป็น 274 PPI และใช้เทคโนโลยี PenTile เช่นเดิม

ส่วนขนาดของตัวเครื่อง Samsung Galaxy Note 2 มีมิติตัวเครื่องที่ 80x151.1x9.4 มิลลิเมตร น้ำหนัก 180 กรัม และ Note 1 อยู่ที่ 146.9x83x9.7 มิลลิเมตร น้ำหนัก 178 กรัม ดังนั้น Note 2 จะบางกว่า 0.3 มม. แต่ก็มีน้ำหนักที่หนักขึ้น 2 กรัม (ถือไม่น่าจะรู้สึก)
ฮาร์ดแวร์ภายใน
Samsung Galaxy Note ตัวแรกรุ่นที่ขายทั่วโลก มาพร้อมกับ CPU Exynos 4210 Dual-Core A9 ความเร็ว 1.4GHz และ GPU Mali 400 ส่วน Note 2 ตรงจุดนี้ค่อนข้างแตกต่างกันพอสมควรครับ เพราะว่ามาพร้อมกับ CPU Exynos 4412 ตัวเดียวกับที่ใช้อยู่ใน Samsung Galaxy S III แต่ถูก Overclock เพิ่มความเร็วจากเดิม 1.4GHz เป็น 1.6GHz และ GPU Mali 400 เหมือนใน S III
ถัดมาเป็นเรื่องของ RAM ครับ โดยที่ Note 2 ให้แรมมาถึง 2GB มากกว่า Note รุ่นเดิมถึง 2 เท่า ซึ่งดูเหมือนว่าสมาร์ทโฟนตัวท็อปๆ รุ่นต่อไปของทุกค่ายน่าจะขยับมาตรฐานมาที่แรม 2 GB แล้วล่ะครับ เพื่อการใช้งานที่ลื่นไหลยิ่งขึ้น ส่วนเรื่องหน่วยความจำภายใน Note 2 กับ Note 1 มีรุ่นให้เลือกเหมือนกันครับคือ 16, 32, และ 64GB ครับ และสามารถเพิ่มเมมได้ด้วย microSD Card แต่ Note 2 รองรับได้สูงสุดถึง 64GB ในขณะที่ Note 1 เพิ่มได้สูงสุด 32GB
เรื่องต่อไปเป็นเรื่องของ แบตเตอรี่ ครับ ซึ่งจุดนี้ก็เป็นจุดที่พัฒนาขึ้นเช่นกันครับ โดยที่ Note 2 มาพร้อมกับความจุ 3100 mAh ในขณะที่ Note 1 อยู่ที่ 2500mAh (แต่ก็อย่าลืมว่า Note 2 มาพร้อม CPU Quad-Core ที่สูบแบตมากกว่า Dual-Core)
เรื่องสุดท้ายเรื่องกล้องครับ โดยทั้งคู่มาพร้อมกับ กล้องดิจิตอลความละเอียด 8 ล้านพิกเซล กล้องหน้า ล้านพิกเซล แต่ตอนนี้ Samsung ยังไม่เปิดเผยเซ็นเซอร์ของกล้องออกมา ดังนั้นตรงเรื่องกล้องขอให้เสมอกันไปก่อนครับ
ระบบปฏิบัติการ และซอฟต์แวร์
 
Samsung Galaxy Note ตัวแรก เปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคม 2011 โดยมาพร้อมกับ Android 2.3 Gingerbread จากนั้นก็สามารถอัพเดตเป็น Android 4.0 Ice-Cream Sandwich ในเวลาต่อมาประมาณเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา และล่าสุดทาง Samsung ประกาศว่าจะอัพเดต Android 4.1 Jelly Bean ได้ในเร็วๆ นี้ แต่ไม่ได้กำหนดแน่นอนออกมา
ส่วนทาง Samsung Galaxy Note 2 โชคดีมากที่จะมาพร้อมกับ Android 4.1 Jelly Bean ตัวล่าสุดจาก Google จากโรงงานเลยครับ
และสำหรับด้านปากกา S-Pen อุปกรณ์เสริมฉลาดๆ สำหรับอุปกรณ์ซีรีย์ Note เท่านั้น ก็ได้รับการพัฒนาขึ้นครับ ทั้งในด้านของดีไซน์ หรือฟังค์ชั่นการทำงาน โดยปากกาของ Note 2 จะมีขนาดที่ยาวขึ้น และจับถนัดมือมากขึ้นเปรียบเสมือนใช้ปากกาจริงๆ เลยครับ
Samsung Galaxy Note 2 มาพร้อมกับฟีเจอร์จัดเต็มเหมือน S III เลยครับ ยกตัวอย่างเช่น Smart Stay, Smart Alerts ในขณะที่ Note ตัวแรกใช้งานแอพพวกนี้ไม่ได้ครับ นอกจากนี้ยังมีแอพใหม่ๆ สำหรับ Note 2 โดยเฉพาะเปิดตัวออกมาด้วย ไม่ว่าจะเป็น "S-Pen Quick Commands" พัฒนาการเขียนของ S-Pen, "Screen Recorder" ที่สามารถบันทึกกิจกรรมต่างๆ บนหน้าจอของคุณได้ และมีการแจ้งเตือนคุณเมื่อปากกา S-Pen ไม่อยู่ในช่องใส่ของมัน เพื่อป้องกันการสูญหาย
สรุป
สรุปแล้ว Samsung Galaxy Note 2 โดดเด่นกว่า Note 1 รุ่นแรกในด้านการประมวลผลที่เร็วขึ้น, มาพร้อม Android 4.1 JB, หน้าจอที่ใหญ่ขึ้น (เล็กน้อย และความละเอียดเท่าเดิม), และปากกา S-Pen ที่เจ๋งขึ้น
แต่ถ้าใครไม่สนใจเรื่องพวกนั้น Samsung Galaxy Note ตัวแรกก็ยังเป็นสมาร์ทโฟนที่น่าใช้อยู่ครับ ซึ่งตอนนี้ก็มีราคาที่ถูกลงแล้ว (และอาจจะลดลงอีกเมื่อ Note 2 วางจำหน่าย)
เอาเป็นว่าถ้าอยากได้สมาร์ทโฟนที่สเปคแรงสามารถอัพเดตได้อีกเยอะ และใช้ได้ไปนานๆ ก็มองเป็น Note 2 ครับ ซึ่งทาง Samsung บอกว่าจะวางขายในเอเชียประมาณเดือนตุลาคมนี้ครับ และมีข่าวลือว่าอาจจะวางจำหน่ายในราคาเดิมของ Note รุ่นแรกด้วยครับ แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องราคายังคงเป็นข่าวลือนะครับ ยังไงรอดูช่วงนั้นอีกทีว่าราคาจะน่าฟาดขนาดไหน ตอนนี้เก็บตังรอได้เลยครับ
source: androidauthority
ขอบคุณเนื้อหา และภาพประกอบ
บทความโดย : เฮียณัฐ TechXcite


ตำนานและการไหว้ในวันสาทรจีน


วันสารทจีน ตามปฏิทินทางจันทรคติ เทศกาลสารทจีนจะตรงกับวันที่ 15 เดือน 7 ตามปฏิทินจีน เทศกาลสารทจีนถือเป็นวันสำคัญที่ลูกหลานชาวจีนจะแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ ซึ่งในปี 2555 นี้ ตรงกับ วันที่ 31 สิงหาคม โดยพิธีเซ่นไหว้ และยังถือเป็นเดือนที่ประตูนรกเปิดให้วิญญาณทั้งหลายมารับกุศลผลบุญได้ โดยตามตำนาน ที่เล่าขานสืบกันมานาน มีด้วยกัน 2 ตำนาน คือ

วันสารทจีน

ตำนานที่ 1
ตำนานนี้กล่าวไว้ว่าวันสารทจีนเป็นวันที่เงี่ยมล้อเทียนจือ (ยมบาล) จะตรวจดูบัญชีวิญญาณคนตาย ส่งวิญญาณดีขึ้นสวรรค์และส่งวิญญาณร้ายลงนรก ชาวจีนทั้งหลายรู้สึกสงสารวิญญาณร้ายจึงทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ ดังนั้นเพื่อให้วิญญาณร้ายออกมารับกุศลผลบุญนี้จึงต้องมีการเปิดประตูนรกนั่นเอง

ตำนานที่ 2
มีชายหนุ่มผู้หนึ่งมีนามว่า "มู่เหลียน" (พระมหาโมคคัลลานะ) เป็นคนเคร่งครัดในพุทธศาสนามาก ผิดกับมารดาที่เป็นคนใจบาปหยาบช้าไม่เคยเชื่อเรื่องนรก-สวรรค์มีจริง ปีหนึ่งในช่วงเทศกาลกินเจนางเกิดความหมั่นไส้คนที่นุ่งขาวห่มขาวถือศีลกินเจ นางจึงให้มู่เหลียนไปเชิญผู้ถือศีลกินเจเหล่านั้นมากินอาหารที่บ้านโดยนางจะทำอาหารเลี้ยงหนึ่งมื้อ
ผู้ถือศีลกินเจต่างพลอยยินดีที่ทราบข่าวว่ามารดาของมู่เหลียนเกิดศรัทธาในบุญกุศลครั้งนี้ จึงพากันมากินอาหารที่บ้านของมู่เหลียนแต่หาทราบไม่ว่าในน้ำแกงเจนั้นมีน้ำมันหมูเจือปนอยู่ด้วย การกระทำของมารดามู่เหลียนนั้นถือว่าเป็นกรรมหนัก เมื่อตายไปจึงตกนรกอเวจีมหานรกขุมที่ 8 เป็นนรกขุมลึกที่สุดได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส
เมื่อมู่เหลียนคิดถึงมารดาก็ได้ถอดกายทิพย์ลงไปในนรกภูมิ จึงได้รู้ว่ามารดาของตนกำลังอดอยากจึงป้อนอาหารแก่มารดา แต่ได้ถูกบรรดาภูตผีที่อดอยากรุมแย่งไปกินหมดและเม็ดข้าวสุกที่ป้อนนั้นกลับเป็นไฟเผาไหม้ริมฝีปากของมารดาจนพอง แต่ด้วยความกตัญญูและสงสารมารดาที่ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างสาหัสมู่เหลียนได้เข้าไปขอพญาเหงี่ยมล่ออ๊อง (ยมบาล) ว่าตนของรับโทษแทนมารดา
แต่ก่อนที่มู่เหลียนจะถูกลงโทษด้วยการนำร่างลงไปต้มในกระทะทองแดง พระพุทธเจ้าได้เสด็จลงมาโปรดไว้ได้ทัน โดยกล่าวว่ากรรมใดใครก่อก็ย่อมจะเป็นกรรมของผู้นั้นและพระพุทธเจ้าได้มอบคัมภีร์อิ๋ว หลันเผิน ให้มู่เหลียนท่องเพื่อเรียกเซียนทุกทิศทุกทางมาช่วยผู้มีพระคุณให้หลุดพ้นจากการอดอยากและทุกข์ทรมานต่างๆ ได้ โดยที่มู่เหลียนจะต้องสวดคัมภีร์อิ๋ว หลันเผินและถวายอาหารทุกปีในเดือนที่ประตูนรกเปิดจึงจะสามารถช่วยมารดาของเขาให้พ้นโทษได้
นับแต่นั้นเป็นต้นมา ชาวจีนจึงได้ถือเป็นประเพณีปฏิบัติสืบต่อมากันโดยตลอดด้วยการเซ่นไหว้ โดยจะนำอาหารทั้งคาวหวาน และกระดาษเงินกระดาษทองไปวางไว้ที่หน้าบ้านหรือตามทางแยกที่ไม่ไกลนัก มีนัยว่าเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจของบรรดาวิญญาณเร่ร่อนที่กำลังจะผ่านมาใกล้ที่พักของตน

วันสาทรจีน

การไหว้ในเทศกาลสารทจีนแบ่งออกเป็น 3 ชุด ดังนี้ (ของไหว้ 5 อย่าง จำนวนชุดที่ไหว้)
1. ชุดสำหรับไหว้เจ้าที่
จะไหว้ในตอนเช้า มีอาหารคาวหวาน ขนมที่ไหว้ก็ขนมถ้วยฟู กุยช่าย ส่วนขนมไหว้พิเศษที่ต้องมีซึ่งเป็นประเพณีของสารทจีนคือขนมเทียน ขนมเข่ง ซึ่งต้องแต้มจุดสีแดงไว้ตรงกลาง เนื่องจากชาวจีนมีความเชื่อที่ว่าสีแดงเป็นสีแห่งความเป็นศิริมงคล นอกจากนั้นก็มีผลไม้ น้ำชา หรือเหล้าจีน และกระดาษเงินกระดาษทอง
2. ชุดสำหรับไหว้บรรพบุรุษ
คล้ายของไหว้เจ้าที่พร้อมด้วยกับข้าวที่บรรพบุรุษชอบ ตามธรรมเนียมต้องมีน้ำแกงหรือขนมน้ำใสๆ วางข้างชามข้าวสวย และน้ำชาจัดชุดตามจำนวนของบรรพบุรุษ ขาดไม่ได้ก็คือขนมเทียน ขนมเข่ง ผลไม้และกระดาษเงินกระดาษทอง
3. ชุดสำหรับไหว้วิญญาณเร่ร่อนหรือวิญญาณไม่มีญาติ
วิญญาณเร่ร่อนหรือวิญญาณไม่มีญาติ เรียกว่า ไป๊ฮ๊อเฮียตี๋ แปลว่า ไหว้พี่น้องที่ดี เป็นการสะท้อนความสุภาพและให้เกียรติของคนจีน เรียกผีไม่มีญาติว่าพี่น้องที่ดีของเรา โดยการไหว้จะไหว้นอกบ้านของไหว้จะมีทั้งของคาวหวานและผลไม้ตามต้องการและที่พิเศษคือมีข้าวหอมแบบจีนโบราณ คอปึ่ง เผือกนึ่งผ่าซีกเป็นเสี้ยวใส่ถาด เส้นหมี่ห่อใหญ่ เหล้า น้ำชา และกระดาษเงินกระดาษทองจัดทุกอย่างวางอยู่ด้วยกันสำหรับเซ่นไหว้
ขนมที่ใช้ไหว้
ในสมัยโบราณชาวจีนใช้ขนมไหว้ 5 อย่าง เรียกว่า โหงวเปี้ย หรือเรียกชื่อเป็นชุดว่า ปัง เปี้ย หมี่ มั่ว กี
ปัง คือขนมทึงปัง เป็นขนมที่ทำมาจากน้ำตาล
เปี้ย คือขนมหนึงเปี้ย คล้ายขนมไข่
หมี่ คือขนมหมี่เท้า ทำมาจากแป้งข้าวเจ้าข้างในไส้เต้าซา
มั่ว คือขนมทึกกี่ เป็นขนมข้าวพองสีแดงตรงกลางมีไส้เป็นแผ่นบาง
กี คือขนมทึงกี ทำเป็นชิ้นใหญ่ยาวเวลาจะกินต้องตัดเป็นชิ้นเล็กๆ
แต่ชาวไทยเชื้อสายจีนใช้ขนมเทียน ขนมเข่งในการไหว้ โดยหลักของที่ไหว้ก็จะมีของคาว 3 หรือ 5 อย่าง เช่น ไก่ หมู เป็ด ไข่ หมึก ปลา เป็นต้น ของหวาน 3 หรือ 5 อย่าง เช่น ขนมเทียน ขนมมัดไต้ ขนมถ้วยฟู หรือขนมสาลี่ปุยฝ้าย ขนมเปี๊ยะ ส้ม หรือผลไม้ตามใจชอบ กระดาษเงินกระดาษทอง
ประเพณีสารทจีนนอกจากจะเป็นประเพณีที่ลูกหลานจะแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษซึ่งล่วงลับไปแล้ว ยังเป็นประเพณีที่มีกุศโลบายในการสนับสนุนให้ทุกคนในครอบครัวทำกิจกรรมร่วมกันอย่างพร้อมหน้าและมีความสุข

ขอบคุณข้อมูลจาก wikipedia
ขอบคุณภาพประกอบจาก wikipedia , Photos.com

วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555

สิงคโปร์ ประเทศที่คนอ่านหนังสือปีละ 40-50 เล่มต่อคน



สิงคโปร์ ประเทศเพื่อนบ้านและหนึ่งในสมาชิกประชาคมอาเซียนที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นประเทศที่มีสถิติการอ่านค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบกับไทย โดยมีสถิติการอ่านหนังสือปีละ 40-50 เล่มต่อคน ขณะที่คนไทยยังให้ความสำคัญกับการอ่านน้อยมาก
นอกจากนี้ ประเทศเล็กๆ อย่างสิงคโปร์ ที่ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติมากนักเหมือนประเทศอื่น แต่กลับมีฐานะทางเศรษฐกิจดีและประเทศพัฒนาอย่างรวดเร็ว ที่สำคัญคือ ความมีระเบียบวินัยของคนในประเทศ ซึ่งเป็นผลจากนโยบายหนึ่งในการพัฒนาประชาชนให้มีคุณภาพและพัฒนาสังคมให้น่าอยู่ คือ "นโยบายส่งเสริมการอ่าน"
นางเกียง-โก๊ะไลลิน ผู้อำนวยการโครงการริเริ่มด้านการอ่าน คณะกรรมการห้องสมุดแห่งชาติสิงคโปร์ (Singapore National Library Board) คือ ผู้หนึ่งที่มีส่วนผลักดันและสนับสนุนนโยบายส่งเสริมการอ่านของสิงคโปร์ และในฐานะผู้ที่มีประสบการณ์ด้านการทำงานส่งเสริมการอ่านมายาวนานกว่า 35 ปี เธอยังได้นำประสบการณ์มาผลักดันให้เกิดโครงการใหม่ๆ เพื่อปลูกฝังและส่งเสริมนิสัยรักการอ่านให้กับประชาชนในสิงคโปร์มากมาย อีกทั้งส่งเสริมให้มีการอ่านหนังสือทั้ง 4 ภาษา ได้แก่ จีน , อังกฤษ , มาเลเซีย และทมิฬ ซึ่งไม่เพียงแต่เชิญชวนให้คนสิงคโปร์อ่านหนังสือแล้ว ยังส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และมีการแบ่งปันประสบการณ์การอ่านอีกด้วย
นาง เกียง-โก๊ะ ไล ลิน กล่าวว่า รัฐบาลของประเทศสิงคโปร์ ให้ความสำคัญในเรื่องการส่งเสริมการอ่าน โดยมีคณะกรรมการหอสมุดแห่งชาติสิงคโปร์เป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำนโยบายส่งเสริมการอ่าน ซึ่งนอกจากห้องสมุด เทคโนโลยีสารสนเทศ และการบริการที่สะดวกแล้ว ต้องไม่ลืมว่าหัวใจหลัก คือ "การสอนให้ประชาชนรักการอ่าน" รู้จักวิธีการเลือกหนังสือ เพื่อส่งเสริมความรู้และการพัฒนาตัวเอง
โครงการส่งเสริมการอ่านของประเทศสิงคโปร์นั้น มีหลากหลาย เน้นการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทุกเพศทุกวัย อย่างกว้างขวาง โดยมีโครงการที่น่าสนใจและเป็นตัวอย่างที่ดี อาทิ National Kids Read Program เป็นโครงการที่เปิดรับสมัครอาสาสมัครเพื่ออ่านหนังสือ เล่านิทานให้เด็กๆ ในชุมชน , โรงเรียนอนุบาล , ประถม และมัธยมศึกษา โดยเน้นให้เด็กได้มีส่วนร่วม สนุกสนานกับเรื่องเล่า เรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษในเรื่องเล่า และได้ข้อคิดดีๆ จากเรื่องเล่าหรือนิทานที่ฟัง เพราะเมื่อเด็กสนุกก็จะทำให้พวกเขาอยากที่จะเปิดหนังสืออ่าน และมีทัศนคติที่ดีต่อการอ่านหนังสือว่าไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อ ซึ่งเด็กๆ ยังได้รับความรู้ใหม่ๆ ที่จะนำไปใช้ในด้านการเรียนและใช้ในชีวิตประจำวันได้
โครงการ 10,000 & More Father Reading เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมส่งเสริมการอ่านที่ได้รับการตอบรับอย่างดีในสิงคโปร์ เป็นกิจกรรมที่สนับสนุนให้พ่อจากทุกอาชีพอ่านหนังสือให้ลูกฟัง หรืออ่านหนังสือกับลูกๆ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความผูกพันระหว่างพ่อกับลูกผ่านการอ่านหนังสือ กิจกรรมนี้เริ่มตั้งแต่ปี 2550 มีผู้เข้าร่วมและได้ประโยชน์กว่า 60,000 คน และยังมีกิจกรรมต่อเนื่องคือ "Read a story with my Dad" เป็นการแข่งขันวิจารณ์หนังสือ โดยมีโรงเรียนอนุบาล และศูนย์ดูแลเด็กเข้าร่วม โดยห้องสมุดแห่งชาติจะมีการ์ดแจกให้เด็กๆ จากนั้นให้เด็กๆ นำกลับไปที่บ้านให้พ่ออ่านให้ฟัง เมื่ออ่านเสร็จแล้วก็ส่งการ์ดกลับมาที่ห้องสมุดแห่งชาติ เพื่อเลือกการ์ดและให้รางวัล ผู้ที่ได้รับคัดเลือกก็จะมาที่ห้องสมุดเพื่ออ่านหนังสือและทำกิจกรรมร่วมกัน จากนั้นบรรดาคุณพ่อจะมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน และประสบการณ์การอ่านหนังสือให้ลูกๆ ฟัง และจัดทำหนังสือเพื่อเผยแพร่ต่อไป
นาง เกียง-โก๊ะ ไล ลิน กล่าวว่า อีกโครงการที่สำคัญในการส่งเสริมการอ่านของประเทศสิงคโปร์ คือ "Read! Singapore" หรือ โครงการ "มาอ่านหนังสือกันเถอะ!" เป็นโครงการรณรงค์การอ่านทั่วประเทศ เพื่อมุ่งปลูกฝังการรักการอ่านในชุมชนทั่วประเทศ เสริมความผูกผันของคนในชุมชน และจุดประกายจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ให้กับคนสิงคโปร์ ริเริ่มโดยคณะกรรมหอสมุดแห่งชาติสิงคโปร์ โดยทำงานร่วมกับภาครีกว่า 100 แห่ง มีการจัดการอภิปรายและกิจกรรมการอ่านมากกว่า 16,000 ครั้ง กิจกรรมนี้จะมีการจัดขึ้นนาน 12-14 สัปดาห์ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมของทุกปี ที่ผ่านมามีผู้ร่วมโครงการแล้วกว่า 160,000 คนภายในปี 2553
"การอ่าน..เป็นนิสัยที่ดีที่สุดในการบ่มเพาะสติปัญญา แม้ในโลกปัจจุบันผู้คนนิยมใช้อินเตอร์เน็ตมากขึ้น แต่ก็ยังมีกลุ่มคนรักการอ่านหนังสือผุดขึ้นมากมายทั่วโลก อย่างโครงการ "หนึ่งเล่มหนึ่งเมือง" ของสหรัฐอเมริกาขณะที่เรามีโครงการ"มาอ่านหนังสือกันเถอะ!สิงคโปร์" ซึ่งโครงการนี้ถือได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะสามารถดึงกลุ่มเป้าหมายจากหลากหลายอาชีพมาจัดตั้งชมรมการอ่านเฉพาะกลุ่มขึ้น เช่น กลุ่มคนขับรถแท็กซี่ ครู ช่างทำผม เจ้าหน้าที่ดูแลสุขภาพ พนักงานโรงแรมและบริการ กลุ่มผู้สูงอายุ เยาวชน ประชาชนทั่วไป หัวหน้าองค์กรรากหญ้า รวมถึงเจ้าหน้าที่พลเรือน และกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ปัจจุบันมีชมรมการอ่านเฉพาะกลุ่มขึ้นมากกว่า 90 แห่ง
เราดีใจที่เห็นคนทุกกลุ่มหันมาสนใจการอ่าน และพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน หลังจากที่พูดคุยกันเสร็จก็มีการไปอ่านหนังสือเล่มเดิมซ้ำอีก เพราะประเด็นที่พูดคุยกันมีหลากหลาย น่าสนใจ ทำให้เราสนใจและกลับไปอ่านหนังสือเล่มนั้นเพิ่มเติม ที่สำคัญคือ เราเห็นว่าคนที่มาทำกิจกรรมร่วมกันมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน นอกจากจะส่งเสริมการอ่านแล้ว ยังเป็นการสร้างความสามัคคีของคนในชาติ ส่งเสริมความสัมพันธ์ของคนแต่ละกลุ่ม แต่ละชุมชนอีกด้วย " นาง เกียง-โก๊ะ ไล ลิน กล่าว
ผู้อำนวยการโครงการริเริ่มด้านการอ่าน ย้ำว่า การส่งเสริมให้ประชาชนทุกวัยทุกอาชีพหันมาสนใจการอ่านหนังสือ ไม่ใช่แค่การให้ประชาชนมาอ่านหนังสือแล้วจบไป แต่เมื่ออ่านหนังสือเสร็จแล้ว ยังมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่หลากหลายจากหนังสือที่อ่านเรื่องเดียวกัน ทั้งนี้ เพื่อมุ่งพัฒนาให้คนสิงคโปร์มีทักษะการคิดแบบวิพากษ์วิจารณ์ มีความคิดสร้างสรรค์ และกล้าแสดงออก ถือเป็นการสร้างวัฒนธรรมการอ่านขึ้นในชุมชนทั่วประเทศ
จากก้าวเล็กๆ สู่การก้าวย่างที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและมั่นคง ทั้งคุณภาพคนและสังคมที่ดี ตัวอย่างจากประสบการณ์การส่งเสริมการอ่านของประเทศเพื่อนบ้านประเทศเล็กๆ อย่างสิงคโปร์ จะเห็นได้ชัดว่า "เริ่มจากการอ่าน" แต่การจะส่งเสริมให้คนหันมาสนใจการอ่านเพื่อเพิ่มพูนความรู้ได้นั้น ต้องอาศัยความรู้และความร่วมมือจากหลายฝ่ายไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล เอกชน และคนในประเทศที่จะช่วยกันขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมการอ่านให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพของคน และสังคมให้น่าอยู่ต่อไป

Dtac ประกาศมาตรการ ชดเชยสัญญานล่ม รับสิทธิ์โทรฟรี หรือเน็ตฟรี ด่วน! รับสิทธิ์ภายในวันนี้เท่านั้น!


Dtac ประกาศมาตรการ ชดเชยสัญญานล่ม รับสิทธิ์โทรฟรี หรือเน็ตฟรี ด่วน! รับสิทธิ์ภายในวันนี้เท่านั้น!

ติดตามข่าว IT ล่าสุดที่น่าสนใจกับ เฮียณัฐ TechXcite เมื่อวานที่ผ่านมา ผู้ที่ใช้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ของ Dtac คงจะเซ็งไม่น้อย เพราะว่าเกิดเหตุสัญญานล่ม หรือเครือข่ายมีปัญหา ใช้งานไม่ได้หลายพื้นที่ จนกระทั่งถึงเวลาประมาณ บ่ายๆ สัญญานจึงกลับมาใช้งานได้ปกติอีกครั้ง ซึ่งในระหว่างนั้นไม่สามารถติดต่อกับผู้ใช้เครือข่าย Dtac ได้ รวมถึง Call Center ของ Dtac ด้วย จนทำให้มีคนจำนวนมาก เข้าไประบายความรู้สึกบนหน้า Facebook ของ Dtac เป็นจำนวนมาก
นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการกสทช. เปิดเผยว่า จากกรณีเกิดปัญหาเครือข่ายโทรศัพท์มือถือของบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) (Dtac) ล่มตั้งแต่เวลา 11.00 น. สำนักงาน กสทช. มีหนังสือด่วนถึงดีแทคเพื่อให้เข้าชี้แจงแล้ว  เนื่องระบบดีแทคล่มเป็นครั้งที่ 5 แล้วส่งผลกระทบให้ลูกค้าผู้ใช้บริการมือถือ   รวมทั้งจะตั้งคณะกรรมการ พิจารณาค่าปรับ มีความเป็นไปได้ว่าตัวเลขค่าปรับจะสูงถึง 8 หลัก  ทั้งนี้อัตราค่าปรับจะคำนวณจากค่าเสียโอกาสจากการที่ผู้ใช้มือถือทั้งระบบ 130 ล้านราย

ล่าสุดทาง Dtac ได้ส่งมาตรการเยียวยาผู้ประสบภัย เครือข่ายล่ม ออกมาดังนี้ครับ

สำหรับลูกค้า Dtac แบบรายเดือน
กด *1737 - รับสิทธิโทรฟรีทุกเครือข่าย 100 นาที นาน 30 วัน หรือ Internet ไม่จำกัด 7 วัน

สำหรับลูกค้า Happy แบบเติมเงิน
กด *10250 - รับสิทธิ์โทรฟรี 80 นาที ในเครือข่ายตั้งแต่เวลา 5 ทุ่ม - 5 โมงเย็น
ทั้งนี้ต้องรีบโทรไปขอรับสิทธินะครับ เพราะว่ามีเวลารับสิทธิติดต่อขอรับสิทธิ์ภายในวันที่ 29 สิงหาคม นี้เท่านั้น ใครรู้แล้วรีบบอกต่อกันด้วยนะครับ (แต่รู้สึกว่าจะโทรติดยากมากนะครับ ยังไงก็พยายามกันนิดนึง)

Update นะครับ เนื่องจากมีผู้ติดต่อกันเข้ามามากจนทำให้หลายคนโทรไม่ติด ตอนนี้ทาง Dtac ได้ขยายเวลาจากเดิม ต้องขอรับสิทธิ์ภายในวันนี้เท่านั้น เป็นรับสิทธิ์ได้ภายในวันที่ 31 สิงหาคมนี้ หวังว่าจะช่วยให้่โทรติดง่ายขึ้นนะครับ

กสทช.ลงดาบดีแทค สัญญาณล่มซ้ำซากปรับ 20-30 ล้านบาท

วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555

นีล อาร์มสตรอง(Neil Alden Armstrong)

สร้างเมื่อ 27-08-2012 โดย
นีล อาร์มสตรอง (Neil Alden Armstrong)เกิดวันที่ 5 สิงหาคม 2473 ที่ฟาร์มในรัฐโอไฮโอ เขาหลงใหลในการเป็นนักบินตั้งแต่เด็ก ได้รับใบอนุญาตขับเครื่องบินในวัยเพียง 16 ปีเท่านั้น และด้วยความรักในการบิน เขาได้เข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรี ด้านวิศวกรรมศาสตร์พื้นฐานการบิน จากมหาวิทยาลัยเพอร์ดู และ ปริญญาโทสาขาเดียวกัน จากมหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย

นีล อาร์มสตรอง เป็นนักบินทดสอบให้กับองค์การนาซามาก่อน เขาได้รับคัดเลือกเป็นนักบินอวกาศเมื่อปี พ.ศ. 2505 (ค.ศ. 1962) และปฏิบัติภารกิจหลายภารกิจในโครงการเจมินีและโครงการอะพอลโล

พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) เขาเป็นผู้บัญชาการของโครงการโครงการอะพอลโล 11 ซึ่งมีเป้าหมายนำยานไปจอดบนดวงจันทร์ โดยสมาชิกในทีมคือ เอ็ดวิน อัลดริน และไมเคิล คอลลินส์ เขา
สามารถปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายสำเร็จ เขากล่าวประโยคนี้เมื่อเหยียบลงบนพื้นผิวของดวงจันทร์ "นี่คือก้าวเล็กๆของมนุษย์คนหนึ่ง แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ (That’s one small step for man, one giant leap for mankind)"

หลังการเกษียณอายุจากองค์การนาซา อาร์มสตรอง ได้ประกอบธุรกิจส่วนตัว และเป็นอาจารย์ในคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัซินซิเนติ เป็นเวลาเกือบ 10 ปี ด้านชีวิตส่วนตัว อาร์มสตรอง สมรสกับ นางเจเน็ต มีบุตรชายด้วยกัน 2 คน และได้หย่าร้าง หลังจากครองคู่กันมานานถึง 38 ปี จากนั้นเขาได้แต่งงานใหม่กับ แครอล ไนท์ ในปี 2542

นีล อาร์มสตรอง เสียชีวิตลงแล้ว หลังจากเข้ารับการผ่าตัดหัวใจและหลอดเลือด แล้วเกิดอาการภาวะแทรกซ้อน เป็นเหตุให้เขาเสียชีวิตลงในวัย 82 ปี เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2555

เรียบเรียงโดย สนุก! กูรู

http://guru.sanook.com/search/

ทำนายเนื้อคู่จากส่วนสูงและน้ำหนักของคุณ


หลายคนอาจไม่เคยทราบว่าเนื้อคู่ของเรานั้นติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด แต่ขึ้นอยู่ที่ว่าคุณจะเจอกันหรือยังSanook! Horoscope จึงได้หาวิธีการทำนายเนื้อคู่แบบที่คุณคาดไม่ถึงมาฝากกันค่ะ นั้นก็คือการทำนายเนื้อคู่จาก ส่วนสูงและน้ำหนักในปัจจุบันของคุณ (วิธีนี้จะได้ผลหรือแม่นมากๆ ก็ต่อเมื่อส่วนสูงและน้ำหนักของคุณคงที่เท่านั้นค่ะ)
เพียงนำส่วนสูงและน้ำหนักของคุณมาบวกกัน (ต้องวัดให้แน่นอนก่อนนะ เพราะผลที่ออกมาจะได้แม่นยำ)
เหลือเศษเท่าไหร่ก็ให้ไปดูตามคำทำนาย เช่น คุณสูง 165 cm หนัก 46 kg ก็จะมีวิธีคำนวณได้ดังนี้ คือ 165 + 46 = 211 เสร็จแล้วให้นำเศษหลักหน่วยที่ได้ (ในตัวอย่างนี้ก็คือ 1)


มาดูคำทำนายเนื้อคู่กันได้เลย
เหลือเศษ 0 เนื้อคู่ของคุณจะมีลักษณะดังนี้คือ เนื้อคู่ของคุณคนนี้นิสัยดี ฐานะดี เป็นคนจริงจัง เป็นคนเพื่อนเยอะ ชอบเข้าสังคม เป็นพวกแคทรียาจ๊ะจ๋า เป็นคนถือตัว นิสัยแข็งกระด้าง แต่เป็นคนที่มีความมานะอดทน เป็นคนที่ต้องการให้ คนอื่นมาเอาใจและต้องการให้มีคนมารายล้อมมากๆ ชอบท่องเที่ยวไปทุกหนทุกแห่ง บางครั้งเป็นคนที่ โรแมนติกทีเดียว แต่เป็นคนเจ้าชู้มาก
เหลือเศษ 1 เนื้อคู่ของคุณจะมีลักษณะดังนี้คือ ผิวขาวน่ารัก นิสัยเยือกเย็นเจ้าระเบียบ ชอบให้ผู้อื่นมาเอาใจ เป็นคนถือตัว ฐานะมั่นคง เป็นคนชอบให้คุณ อยู่ในคำสั่งของเขา ถ้าขัดใจเมื่อไหร่จะไม่พอใจทันที แต่โกรธง่ายหายเร็ว ถ้ารักใครแล้วรักจริงพร้อมที่จะแต่งงาน กับคนที่เขารักได้ทันที
เหลือเศษ 2 เนื้อคู่ของคุณจะมีลักษณะดังนี้คือ เป็นคนไม่ถือตัว รูปร่างสันทัดผิวสองสีเป็นคนร่าเริง มารยาทเรียบร้อยเป็นคน เสมอต้นเสมอปลาย รักเดียวใจเดียว เป็นคนง่ายๆชอบตามใจคนอื่น ไม่ค่อยมีพิธีรีตองอะไรมากนัก เป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ง่าย ช่างพูดช่างเจรจา เป็นคน นิสัยดี จิตใจเอื้อเฝื้อเผื่อแผ่ ใครๆก็รัก เป็นคนค่อนข้างเจ้าชู้ แต่ถ้ารักใครแล้ว รักจริงหวังแต่ง
เหลือเศษ 3 เนื้อคู่ของคุณจะมีลักษณะดังนี้คือ เป็นคนผิวขาวเหลือง นิสัยเด็ดเดี่ยว ฐานะมั่นคงมีเสน่ห์อยู่ในตัว เป็นคนพูดจาอ่อนหวาน ค่อนข้าง จะเป็นคนอ่อนไหว ช่างพูดช่างคุย พูดจาเรื่อยเปื่อย เป็นคนที่มั่นใจในตัวเองสูง จัดการทุกสิ่งทุกอย่างเองหมด มีเพื่อนเยอะ มีลักษณะผู้นำ ในการไปไหนมาไหน บางครั้งโรแมนติก ชอบทำให้คนอื่นหลง ชอบไปเที่ยวชมธรรมชาติ
เหลือเศษ 4 เนื้อคู่ของคุณจะมีลักษณะดังนี้คือ เป็นคนใจดีมีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ถือตัว ฐานะดี ช่างพูด รักอิสระไม่ชอบให้ใครบังคับ เป็นคนที่ตั้งใจทำอะไรแล้วต้องถึงที่สุด เอาจริงเอาจัง มีเหตผลหนักแน่น ชอบคิดหาเหตผลในทุกๆเรื่อง เชื่อมั่นในตัวเองสุดๆ ถ้าคิดจะทำอะไร แล้วอย่าขัดเพราะขัดไปก็เท่านั้น น่ารักกับผู้ใหญ่
เหลือเศษ 5 เนื้อคู่ของคุณจะมีลักษณะดังนี้คือ รูปร่างสันทัดผิวขาว ร่าเริงสนุกสนาน ขยันพูด สนุกกับการพูด เป็นคนอ่อนไหวพอสมควร ขี้งอน และขี้หึงสุดๆ แต่บางครั้งก็สุขุมเยือกเย็น และอ่อนน้อม ยากจะคาดเดาได้ พูดจาตรงไปตรงมา เห็นความรักเป็นสิ่งวิเศษ อารมณ์ดี ปากหวาน
เหลือเศษ 6 เนื้อคู่ของคุณจะมีลักษณะดังนี้คือ ผิวขาว นิสัยอ่อนโยน ชอบทุกอย่างที่คุณชอบ ตามใจคุณทุกอย่าง ไม่ชอบอยู่เป็นที่ ชอบที่จะสนุกสนานไปเรื่อยๆ เข้ากับคนอื่นได้ง่าย ต้องการให้คนอยู่ใกล้ๆ มี ความสุข เป็นที่รักของคนมากมาย เป็นคนมีเสน่ห์มากคุณจะ ติดเขาสุดๆ
เหลือเศษ 7 เนื้อคู่ของคุณจะมีลักษณะดังนี้คือ มีนิสัยอ่อนโยน พูดจาดีมีเหตผล ให้ความจริงใจกับความรัก ไม่ชอบให้ใครมา บังคับให้ทำอะไร อ่อนไหวง่าย เป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยสุงสิงกับใครเท่าไหร่ ชอบอยู่ เงียบๆคนเดียว ช่างประดิษฐ์คิดค้น ชอบทำอะไรด้วยตัวเอง ไม่ชอบพึ่งคนอื่น แต่งตัวเนี๊ยบมาก รักความสะอาด
เหลือเศษ 8 เนื้อคู่ของคุณจะมีลักษณะดังนี้คือ รูปร่างสันทัดผิวสองสี ชอบเอาใจคนอื่น ชอบอยู่กับคนเยอะๆ มีความสุขมากที่ได้ พบปะกับคนอื่น ชอบอะไรง่ายๆ แต่งตัวตามสบาย เป็นคนเปิดเผย จริงจังกับ ความรักมาก ไม่ยอมให้ใครมายุ่งเกี่ยว ขี้หึง
เหลือเศษ 9 เนื้อคู่ของคุณจะมีลักษณะดังนี้คือ ผิวขาว เงียบ คิดอะไรไม่เหมือนคนอื่น เป็นตัวของตัวเองไม่ค่อยแคร์คนอื่น ชอบ ทำอะไรที่แสดงถึงความเป็น ผู้นำ ชอบฝันไปเรื่อยเปื่อย ชอบขัดใจผู้อื่น เชื่อมั่นในตัวเองสูงมาก โรแมนติกแบบแปลกๆ ช่างฝันสุดๆ

ขอบคุณข้อมูลจาก FW Mail
ขอบคุณภาพประกอบจาก Photos.com